สีทาไม้ภายนอกและภายในที่ควรใช้ปี 2024: สูตรด้านและสูตรเงา

การดูแลรักษาไม้ภายนอก เพื่อป้องกันการล่อนหรือเปราะแตกจากสภาพอากาศที่แปรปรวน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เพราะนอกจากการดูแลรักษาที่ไม่เหมาะสมแล้ว สีทาไม้ภายนอกที่เลือกใช้ก็มีผลต่อความทนทานของไม้ด้วย สีทาไม้ที่มีคุณภาพดีควรสามารถทนทานต่ออุณหภูมิและความชื้น ปกป้องไม้จากแสงแดด ความเป็นกรด และการขัดถูได้

ในบทความนี้เราจะแบ่งปันวิธีการเลือกสีทาไม้ภายนอกให้เหมาะสมกับพื้นที่การใช้งาน ลักษณะงาน และชนิดของไม้ พร้อมทั้งคำแนะนำจากช่างไม้มืออาชีพ รวมถึง 10 อันดับสีทาไม้ภายนอกจากยี่ห้อชั้นนำที่มีคุณภาพ ทั้งสูตรด้าน สูตรเงา และสูตรกึ่งเงา รวมถึงสูตรกันน้ำ กัน UV และสูตรป้องกันเชื้อรา เพื่อให้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อสีทาไม้ภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ

สีทาไม้ภายนอกต่างกับสีทาไม้ภายในอย่างไร ใช้แทนกันได้หรือไม่

สีทาไม้ภายนอกและภายในมีคุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

สำหรับสีทาไม้ภายใน มักจะมีลักษณะที่เป็นสีเคลือบแข็ง ช่วยเซ็ตเป็นชั้นฟิล์มที่มีความแข็งและความยืดหยุ่นต่ำ มีลักษณะเป็นสีใสและชัดเจน มีเนื้อสีที่หนาและเข้ม ทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความชื้นไม่ให้ซึมผ่านจากเนื้อไม้ และเนื่องจากมีความหนืดข้นน้อยกว่าสีทาไม้ภายนอกจึงแห้งเร็วกว่าและให้ความเงางามกว่า

ส่วนสีทาไม้ภายนอก สามารถใช้กับไม้แท้ทุกประเภทและบางสูตรยังใช้กับไม้สังเคราะห์ได้ มักมีเนื้อสีที่ขุ่นข้น และมีรงควัตถุที่หักเหแสงเป็นส่วนประกอบ ออกแบบมาเพื่อป้องกันรังสี UV และเนื้อไม้ ส่วนใหญ่เมื่อแห้งตัวสีจะให้ฟิล์มที่ยืดหยุ่น แต่หากใช้กับไม้เก่าหรือผิวไม้ที่มีการผุกร่อนก็จำเป็นต้องแต่งพื้นผิวและรองพื้นให้ดีก่อน

การนำสีทาไม้ภายในมาทาภายนอกจะให้ความเงางามและชั้นฟิล์มโชว์ลายไม้ที่ชัดเจนกว่า แต่อายุการใช้งานของสีจะน้อยลง เนื่องจากสภาพอากาศในประเทศไทยมีความชื้นสูงและมีแสงแดดจัด ไม่ควรใช้สีทาภายในมาทาภายนอกในบริเวณที่มีแสงแดดส่องเข้าไม่ถึงหรือเข้าถึงน้อยมาก

วิธีการเลือกสีทาไม้ภายนอก

1.อันดับแรก ! เลือกประเภทสีทาไม้ให้เหมาะกับบริเวณที่ใช้งานมากที่สุด

การเลือกสีทาไม้ภายนอกมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากไม้มีความละเอียดอ่อนและการทาสีจะมีผลต่อการปกป้องไม้และการดูดซึมของสีไปยังไม้ ดังนั้น ควรคำนึงถึงพื้นผิวของไม้ พื้นที่ใช้งาน และรายละเอียดอื่น ๆ อย่างละเอียด

สีทาไม้ภายนอกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของงานต่าง ๆ ได้แก่

  1. สีย้อมไม้: เป็นสีที่ใช้ปรับหรือควบคุมสีเดิมของไม้ให้มีเฉดสีที่ต่างไปจากเดิม มักมีราคาไม่สูงมาก แต่สามารถให้โทนสีที่ไม่ค่อยธรรมชาติได้ มีสูตรพอลิเมอร์หรือโพลียูรีเทนให้เลือกใช้ เป็นสีสังเคราะห์ที่ให้โทนสีเสมือนจริง อย่างไรก็ตาม การทาสีปรับสีไม้ให้สม่ำเสมอนั้นทำได้ยากหากไม่มีประสบการณ์
  2. สีเคลือบเงา: มีคุณสมบัติเคลือบพื้นผิวไม่ให้อากาศหรือความชื้นซึมผ่าน นิยมใช้กับไม้ที่มีลวดลายและโทนสีเป็นเอกลักษณ์ เช่น ไม้พะยูง ไม้ชิงชัน เป็นต้น แต่ในงานไม้จะไม่นิยมใช้ทาบริเวณที่ต้องรับแดดจัด เพราะสีมีความโปร่งใส ทำให้รังสี UV กระทบไม้ภายในได้ง่ายและอาจทำให้ไม้เหี่ยวเหลือง ส่วนใหญ่จะใช้โพลียูรีเทนที่มีคุณสมบัติกันความชื้นและอากาศ จึงอาจเกิดการโป่งพองของชั้นสีในบางจุด
  3. สีทึบแสง: มีให้เลือกทั้งสีน้ำมันสังเคราะห์และสีสูตรน้ำ ซึ่งสูตรน้ำมันมีคุณสมบัติกันความชื้นได้ดีกว่า สามารถป้องกันรังสี UV ได้สูงกว่าชนิดอื่น และยังช่วยปกปิดเนื้อไม้ที่มีตำหนิหรือมีการทาสีเดิมมาก่อนได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม การใช้สีทาที่เหมาะสมสามารถช่วยปกป้องไม้และเพิ่มความสวยงามให้กับไม้ของคุณได้อย่างยอดเยี่ยม

    บริเวณที่ไม่ต้องมีการสัมผัสบ่อย เช่น เพดาน กันสาด ผนัง แนะนำให้ใช้สีย้อมไม้

    สีย้อมไม้ (Wood Stain) เป็นสีที่ออกแบบมาเพื่อปรับหรือควบคุมสีเดิมของไม้โดยไม่ทำให้ลวดลายบนเนื้อไม้เปลี่ยน แต่ทำให้สีเดิมเข้มขึ้น ช่วยปรับสีให้เป็นโทนสีใหม่ที่กลมกลืนกัน เช่น การใช้สีย้อมไม้ทาไม้ยางพาราให้เป็นโทนสีคล้ายกับไม้สักทอง หรือการย้อมไม้สักทองให้มีโทนสีคล้ายไม้ประดู่ เป็นต้น สีทานี้ยังช่วยรักษาสภาพเนื้อไม้ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นด้วย

    สีย้อมไม้นิยมใช้ทาภายนอกอาคารในบริเวณที่ไม่ต้องรับแรงสัมผัส เช่น ฝ้าเพดาน กันสาด เสา ผนัง ไม้ชิงชัน หรือไม้ระแนง โดยมีลักษณะเด่นคือเป็นฟิล์มยืดหยุ่นคล้ายน้ำมันหนืด ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันความชื้น แต่ปล่อยให้ความชื้นซึมออกจากเนื้อไม้ได้ ช่วยยืดอายุการใช้งานของไม้ เหมาะสำหรับบริเวณที่ไม่ได้สัมผัสและไม่ได้รับการเสียดสีโดยตรง การเลือกสีย้อมไม้แนะนำให้เลือกสูตรที่เม็ดสีเข้มข้นและสีที่ดูดซึมเข้ากับเนื้อไม้ได้ลึกถึงชั้นในไม้

    สีทาไม้ภายนอกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของงานต่าง ๆ ได้แก่

    1. สีย้อมไม้: เป็นสีที่ใช้ปรับหรือควบคุมสีเดิมของไม้ให้มีเฉดสีที่ต่างไปจากเดิม มักมีราคาไม่สูงมาก แต่สามารถให้โทนสีที่ไม่ค่อยธรรมชาติได้ มีสูตรพอลิเมอร์หรือโพลียูรีเทนให้เลือกใช้ เป็นสีสังเคราะห์ที่ให้โทนสีเสมือนจริง อย่างไรก็ตาม การทาสีปรับสีไม้ให้สม่ำเสมอนั้นทำได้ยากหากไม่มีประสบการณ์
    2. สีเคลือบเงา: มีคุณสมบัติเคลือบพื้นผิวไม่ให้อากาศหรือความชื้นซึมผ่าน นิยมใช้กับไม้ที่มีลวดลายและโทนสีเป็นเอกลักษณ์ เช่น ไม้พะยูง ไม้ชิงชัน เป็นต้น แต่ในงานไม้จะไม่นิยมใช้ทาบริเวณที่ต้องรับแดดจัด เพราะสีมีความโปร่งใส ทำให้รังสี UV กระทบไม้ภายในได้ง่ายและอาจทำให้ไม้เหี่ยวเหลือง ส่วนใหญ่จะใช้โพลียูรีเทนที่มีคุณสมบัติกันความชื้นและอากาศ จึงอาจเกิดการโป่งพองของชั้นสีในบางจุด
    3. สีทึบแสง: มีให้เลือกทั้งสีน้ำมันสังเคราะห์และสีสูตรน้ำ ซึ่งสูตรน้ำมันมีคุณสมบัติกันความชื้นได้ดีกว่า สามารถป้องกันรังสี UV ได้สูง

      หากเป็นบริเวณที่มีการสัมผัสบ่อย เช่น พื้น บันได หรือเฟอร์นิเจอร์ ให้เลือก ‘สีเคลือบเงา’ หรือ ‘สีทึบแสง’

      สีเคลือบเงาเป็นสีที่ออกแบบมาเพื่อเคลือบไม้ให้เกิดความเงางาม ทำให้โทนสีและลวดลายดั้งเดิมของไม้มีความชัดเจนและสีสันสดใสมากขึ้น เมื่อแห้งตัวแล้วจะเกิดชั้นฟิล์มแข็งเคลือบบนพื้นผิว ช่วยป้องกันการเกิดรอยและทำให้พื้นผิวทนต่อการกัดกร่อนได้มากขึ้น สีเคลือบเงามีระดับความเงาให้เลือกใช้คือแบบกึ่งเงาและการเคลือบเงา

      ส่วนสีทึบแสงจะมีโครงสร้างสีแบบเดียวกันกับสีเคลือบเงา เพียงแต่จะมีการเพิ่มรงควัตถุลงในเนื้อสารเคลือบ เมื่อทาแล้วจะช่วยปกปิดพื้นผิวได้ดีเยี่ยม กลบลายไม้เดิมได้ แต่จะยังคงสัมผัสได้ถึงเท็กซ์เจอร์ของไม้ สีทึบแสงมีให้เลือกใช้ทั้งแบบสูตรน้ำและสูตรน้ำมัน สูตรน้ำมันจะใช้เวลาในการแห้งตัวนานกว่าสูตรน้ำ

      ด้วยความที่สีเคลือบเงาและสีทึบแสงเป็นสีที่ทนทานต่อการขูดขีด ทนต่อแรงตกกระแทกได้ดี จึงนิยมใช้ในการทาไม้ภายนอกในบริเวณที่ต้องรับแรงสัมผัส เช่น พื้นไม้ ลูกบันได ราวบันได รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ต้องมีการสัมผัสหรือเสียดสีอยู่ตลอด เพราะชั้นฟิล์มของสีเคลือบเงาจะไม่เกิดการหลุดล่อนได้ง่ายและไม่เหนียวเหนอะหนะติดผิวหนังหรือเสื้อผ้า

      ทั้งนี้ การจะเลือกว่าจะใช้สีเคลือบเงาหรือสีทึบแสงนั้นจะขึ้นอยู่กับลักษณะผิวชิ้นงานที่ต้องการเป็นหลัก กล่าวคือ ขึ้นอยู่กับรสนิยมความชอบรูปลักษณ์ของไม้ที่ออกมา แต่ถ้าเป็นชิ้นงานที่ต้องตากแดดกลางแจ้งตลอด การเลือกใช้สีทึบแสงก็จะทน

      2. ประเภทสีต้องเหมาะสมกับชนิดของไม้ด้วย

      เมื่อเลือกซื้อสีทาไม้ภายนอก ควรพิจารณาชนิดของไม้ด้วย เนื่องจากไม้แต่ละชนิดต้องการคุณสมบัติของสีที่แตกต่างกัน การใช้ประเภทของสีที่ไม่เหมาะกับชนิดไม้อาจทำให้วัสดุมีอายุการใช้งานที่สั้นลง และทำให้เกิดชั้นฟิล์มสีที่ผิดเพี้ยน

      ตัวอย่างเช่น การใช้สีทาไม้ในกลุ่มโพลียูรีเทนที่เหมาะกับไม้แท้กับไม้สังเคราะห์อาจทำให้โทนสีอ่อนลงหรือผิดเพี้ยนไปจากเดิม หรือถ้านำสีทาไม้สังเคราะห์ไปทาทับเนื้อไม้แท้ก็อาจทำให้ไม้เกิดการผุกร่อนและคายยางไม้ออกมาผสมกับเม็ดสีจนเกิดรอยด่าง ดังนั้น ผู้ใช้งานควรเลือกประเภทสีทาไม้ให้เหมาะกับชนิดของไม้ได้เป็นอย่างดี

      สำหรับไม้แท้ ควรมีคุณสมบัติในการอุดเสียดน้ำได้ดี มีความยืดหยุ่นสูงและทนทานเป็นพิเศษ เพื่อปกป้องมูลค่าไม้แท้จากรอยขีดข่วน ความชื้น และแสงแดด โดยสีสูตรน้ำมันจะเหมาะสมที่สุด

      สำหรับไม้สังเคราะห์ ควรมีคุณสมบัติในการยึดเกาะพื้นผิวได้ดีเยี่ยม แทรกซึมสู่พื้นผิวได้ดีและไม่สร้างชั้นฟิล์มน้ำมันเพื่อป้องกันสีลอกล่อน โดยสีสูตรน้ำจะเหมาะสมที่สุด

      สำหรับไม้แท้ สีสูตรน้ำมันในกลุ่มพอลิเมอร์หรือโพลียูรีเทนจะเหมาะสมที่สุด

      เมื่อใช้สีทาไม้สำหรับไม้แท้ ควรเลือกสีสูตรที่ออกแบบมาเพื่อไม้แท้โดยเฉพาะ โดยจะเป็นสีทาไม้ภายนอกในกลุ่มพอลิเมอร์หรือโพลียูรีเทน เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นที่ช่วยให้ไม้ทนทานมากขึ้น มีชั้นฟิล์มที่ยืดหยุ่นสูงและแข็งแรงช่วยเคลือบผิวไม้ให้ทนต่อรอยขีดข่วน และช่วยให้เนื้อไม้มีความแข็งแรงขึ้นด้วย

      สำคัญอีกอย่างคุณสมบัติของสีที่มีสารพอลิเมอร์คือ มีชั้นฟิล์มที่ยืดหยุ่น สามารถป้องกันการกัดกร่อนชั้นฟิล์มจากยางไม้ภายในเนื้อไม้และป้องกันความชื้นจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของไม้ให้ยาวนาน ลดการเกิดความชื้นที่อาจทำให้ไม้บวม เกิดเขื้อราหรือตะไคร่ได้ง่าย

      ถ้าเป็นไม้สังเคราะห์แนะนำให้หลีกเลี่ยงสูตรน้ำมัน ใช้สีสูตรน้ำแทน

      ไม้สังเคราะห์หรือไม้เทียมมีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายกับไม้จริงมากที่สุด เพราะเป็นวัสดุที่ผลิตจากการใช้วัสดุสังเคราะห์ มักใช้วัสดุเช่น ไฟเบอร์ซีเมนต์และผสมพลาสติก การทาไม้สังเคราะห์จึงต้องใช้สีทาไม้ที่มีคุณสมบัติในการยึดเกาะพื้นผิวได้ดีเยี่ยม ไม่เป็นกรด ทนต่อด่าง และไม่สร้างชั้นฟิล์มน้ำมันบนผิว เพื่อลดโอกาสหลุดล่อน ในกรณีนี้ การใช้สีสูตรน้ำจะเหมาะสมที่สุด เนื่องจากโมเลกุลของน้ำจะซึมเข้าสู่ผิวได้ดีกว่า

      ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้สีทาที่เป็นแบบโปร่งแสงหรือทึบแสงได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นผิวและความสวยงามของชิ้นงานที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรนำสีทาไม้และสีเคลือบเงาสูตรน้ำมันไปใช้ในการทาไม้สังเคราะห์ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการหลุดล่อนหรือเปลี่ยนสีของสารเคลือบได้

      ไม้สังเคราะห์หรือไม้เทียมมีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายกับไม้จริงมากที่สุด เพราะเป็นวัสดุที่ผลิตจากการใช้วัสดุสังเคราะห์ มักใช้วัสดุเช่น ไฟเบอร์ซีเมนต์และผสมพลาสติก การทาไม้สังเคราะห์จึงต้องใช้สีทาไม้ที่มีคุณสมบัติในการยึดเกาะพื้นผิวได้ดีเยี่ยม ไม่เป็นกรด ทนต่อด่าง และไม่สร้างชั้นฟิล์มน้ำมันบนผิว เพื่อลดโอกาสหลุดล่อน ในกรณีนี้ การใช้สีสูตรน้ำจะเหมาะสมที่สุด เนื่องจากโมเลกุลของน้ำจะซึมเข้าสู่ผิวได้ดีกว่า

      ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้สีทาที่เป็นแบบโปร่งแสงหรือทึบแสงได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นผิวและความสวยงามของชิ้นงานที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรนำสีทาไม้และสีเคลือบเงาสูตรน้ำมันไปใช้ในการทาไม้สังเคราะห์ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการหลุดล่อนหรือเปลี่ยนสีของสารเคลือบได้

      3.หากเป็นงานไม้ที่ต้องโดนแสงแดดหรือความร้อนอยู่ตลอด ควรเลือกใช้สีทึบแสงหรือสีย้อมไม้สูตรน้ำมัน

      วัสดุที่อยู่ภายนอกทุกชนิดจำเป็นต้องมีการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอน เช่น ความชื้นและความร้อน ดังนั้น สีทาไม้สำหรับงานภายนอกจึงต้องมีคุณสมบัติในการป้องกันแสงแดด UV และกันความชื้นได้ดีเยี่ยม

      หากต้องการสีทาไม้ภายนอกที่สามารถป้องกันแสงแดดและ UV ได้ ควรเลือกสีทึบแสง ซึ่งทนต่อแสงแดดได้ดี เพราะมีเม็ดสีที่ช่วยป้องกันรังสี UV ไม่ให้สัมผัสกับเนื้อไม้โดยตรง แต่หากต้องการใช้สีประเภทโปร่งแสงแต่มีคุณสมบัติที่ป้องกันรังสี UV ควรเลือกใช้สีย้อมไม้สูตรน้ำมันที่ชั้นฟิล์มมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากเป็นสีทาไม้ที่ทนทานต่อแสงแดด บนฉลากของผลิตภัณฑ์มักจะระบุว่าทนต่อรังสี UV หรือสามารถปกป้องเนื้อไม้จากแสงแดดได้ จึงสามารถพิจารณาจากจุดนี้ได้ง่ายเช่นกัน

      อีกหนึ่งคุณสมบัติของสีทาไม้ภายนอกที่ช่วยให้สีมีอายุการใช้งานที่ยาวนานคือ ความยืดหยุ่นของชั้นฟิล์มและการทนต่อความร้อนเป็นเวลานาน เนื่องจากสีที่มีชั้นฟิล์มยืดหยุ่นและทนต่อความร้อนมักจะเป็นคุณสมบัติของกลุ่มสีย้อมไม้ที่ขยายและหดตัวตามการยืดหดของเนื้อไม้ได้ ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการแตกล่อนและเกิดคราบเหลืองจากการกร่อนตัวได้

      4.

      หากใช้งานบริเวณที่มีความชื้นสูง สีในกลุ่มพอลิเมอร์จะป้องกันการยึดเกาะของราและตะไคร่น้ำได้ดีที่สุด

      การใช้สีทาไม้ภายนอกที่ดีควรมีคุณสมบัติป้องกันความชื้นและการยึดเกาะของตะไคร่น้ำด้วย โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความชื้นสูง เพราะตะไคร่น้ำและราดำจากความชื้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชั้นฟิล์มสีทั่วไปเสื่อมสภาพและเกิดการเสื่อมสภาพรอยด่างซีดเฉพาะจุดบนชิ้นงานเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ชิ้นงานเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

      ดังนั้น คุณสมบัติสีทาไม้ภายนอกที่สำคัญคือ เนื้อสีจะต้องไม่เกิดราดำและผิวภายนอกไม่เกิดการยึดเกาะของตะไคร่น้ำ ซึ่งมักจะเป็นสีในกลุ่มพอลิเมอร์ (โพลียูรีเทน) ที่เป็นสารเคลือบชนิดหนึ่ง โดยจะมีคุณสมบัติในการทนทานน้ำและการรั่วซึมสูง แม้โดยส่วนใหญ่แล้วสีทาไม้ภายนอกที่กันน้ำได้มักจะมีการระบุไว้ที่ฉลากผลิตภัณฑ์ว่าเป็นสูตรป้องกันความชื้นหรือสูตรทนต่อความชื้น แต่กรณีที่ไม่มีการระบุไว้ ขอแนะนำให้มองหาสีพอลิเมอร์ในกลุ่มโพลียูรีเทนแทน

      นอกจากนี้ สีทาไม้บางประเภทที่ออกแบบมาเพื่อให้มีคุณสมบัติเฉพาะด้าน เช่น สีทาไม้สำหรับป้องกันเชื้อรา ป้องกันการเกิดคราบราดำบนพื้นผิว โดยจะมาในรูปแบบของสีทาไม้แบบรองพื้นที่มีส่วนผสมสำคัญในการคุมความชื้นในเนื้อไม้ ทำให้ไม่เกิดชั้นราดำภายในและไม่เกิดการโป่งพองของสี ซึ่งมักจะใช้สารดูดซับความชื้นกลุ่มซิลิกา และสารป้องกันการเกิดเชื้อราที่เป็นสูตรเฉพาะของผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อ

By namtan